วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

ไก่ย่างสมุนไพร

ไก่ย่างสมุนไพร


 

       ไก่ย่าง เป็นอาหารยอดนิยมของคนอีสาน ทุกบ้านทำไก่ย่างกินเองได้ ถ้าเป็นไก่บ้านนี้เนื้ออร่อยแซบที่สุดเลย และเป็นตั้งแต่อาหารจานหลัก อาหารว่าง อาหารเรียกน้ำย่อย หรือกับแกล้ม (ในวงเหล้าขาว 40 ดีกกรีของบ่าวไทบ้านได้ยอดเยี่ยมเลย)

ส่วนผสม 1.ไก่ขนาดกลาง 1 ตัว
2.ตะไคร้หั่นฝอย 3 ต้น
3.กระเทียม 1 หัว
4.รากผักชี 4-5 ราก
5.พริกไทยเม็ด 15-20 เม็ด
6.ข่าหั่น 1 แง่ง
7.เกลือป่น 1/2-1 ช้อนโต๊ะ
 
วิธีทำ 1.ควักเครื่องในออกล้างให้สะอาด ตัดขา ตัดหัวออกด้วย  โขลกเครื่องปรุงให้ละเอียด
2.โขลกข่า ตะไคร้ ขิง กระเทียม รากผักชี พริกไทยเม็ด เกลือป่น ให้ละเอียดเติมซอสปรุงรส แล้วเคล้ากับไก่แล้วหมักเนื่อไก่ไว้สัก 1/2 ชั่วโมง จนนิ่มได้ที่
3.ย่างไก่บนเตาถ่านด้วยไฟอ่อนจนสุกเหลือง  หรือเอาเนื้อไก่ห่อฟอยล์แล้วนำไปย่างจนสุก  ทำน้ำจิ้มไก่ตามใจชอบ 

 

ซุปหน่อไม้

ซุปหน่อไม้


                  ซุปหน่อไม้นั้นเป็นอาหารพื้นบ้านของภาคอีสานที่เราค่อนข้างจะคุ้นเคย หากพูดถึงส้มตำก็ต้องมีซุปหน่อไม้ ซึ่งผู้นิยมอาหารอีสานมักจะสั่งมาควบคู่กับส้มตำด้วยเสมอ เพราะอร่อยแซ่บหลายอย่าบอกใคร แม้แต่ฝรั่งตาน้ำข้าวก็โปรดปรานชื่นชอบเมนูอาหารไทยนี้เป็นจำนวนมาก สำหรับวิธีการทำซุปหน่อไม้นั้นคุณสามารถทำรับประทานเองได้แสนง่าย คือการนำหน่อไม้รวก มาต้มกับใบย่านางจนสุก แล้วตักเอาเฉพาะเนื้อหน่อไม้ที่เตรียมไว้และน้ำใบย่านางอีกเล็กน้อย เอามาปรุงแต่งรสชาติด้วยข้าวคั่ว ต้นหอม ผักชีฝรั่ง พริกป่น คลุกเคล้ากับน้ำมะนาว น้ำปลา เพียงเท่านี้ก็ได้รสชาติอร่อยแบบแซ่บสุดๆแล้วล่ะ ที่มีสูตรขั้นตอนการทำซุปหน่อไม้ดังนี้

แจ่วบอง

แจ่วบอง

                                      
 

                             ดูภาพด้านบนตอกย้ำว่าวิธีไหนมันน่าจะหอมกว่ากันมีแถมแมงดานามาคั่วรวมด้วยนะเออ ไม่หอมก็ให้มันรู้ไปสิ แต่ว่าตอนนี้กลิ่นแมงดาเขายังไม่ออกหรอกนะ เพราะกลิ่นมันอยู่ข้างในตัวเขา ต้องเอามาโขลกมาตำให้ละเอียดโน่นแหล่ะกลิ่นพี่แมงดาเขาถึงจะโชยออกมาให้ได้กลิ่น และที่สำคัญต้องใช้แต่แมงดาตัวผู้เท่านั้นนะครับถึงจะมีกลิ่นแรงเหมาะกับการนำมาใช้ทำแจ่วแมงดาของเรา เพราะตามธรรมชาติตัวผู้ต้องส่งกลิ่นเพื่อดึงดูดตัวเมียเมื่อต้องการผสมพันธุ์ ตอนเด็กผมจำได้ว่าตัวเองไม่ชอบกลิ่แมงดาเลยครับ รู้สึกมันกลิ่นฉุนแปลกๆ แต่พอโตมาทำไมชอบจังก็ไม่รู้ ทุเรียนก็เหมือนกันตอนเด็กก็ไม่ชอบเอาซะเลย แต่พอมากินตอนโตกลับรู้สึกว่าอร่อยดี มีแมงอีกชนิดหนึ่งที่กลิ่นแรงมากๆเอามาทำแจ่วก็หอมอร่อยไปอีกแบบ คือ แมงแคงหรือแมงแคงค้อ เพราะชอบอาศัยอยู่ตามต้นค้อ แต่ไม่รู้ว่าภาษากลางเรียกแมงชนิดนี้ว่าอะไร ใครทราบโปรดบอกฉันที อิอิ เมื่อก่อนเคยไปจับมาได้แต่ต้องระวังฉี่ของมันอย่าให้เข้าตาเพราะเข้าใจว่ามีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆอยู่เหมือนกัน โดนมันฉี่ใส่นิ้วมือนี่ก็ออกสีเหลืองส้มไปเลยแถมยังติดแน่นทนทานล้างไม่ออกง่ายๆกันเลยทีเดียว
เมื่อเผาพริกเผาเกลือเตรียมสาปแช่ง เอ้ย…ไม่ใช่ เตรียมทำแจ่วกันแล้ว ก็นำมาโขลกมาตำรวมกันซะ เท่านี้จะสำเร็จเป็นแจ่วหาได้ไม่ ยังขาดพระเอกของงานอยู่คือตัวชูรส ไม่ใช่ผงชูรสนะ แต่มันคือปลาร้าหรือปลาแดกของชาวอีสานบ้านเฮานั่นเองครับ แต่ถ้าใครคออ่อนทานปลาร้าไม่ได้อันนี้ต้องบอกว่าบุญมีแต่กรรมบังนะครับ ของดีมีวิตามินไม่กินได้ไง ว่ะ ห้า ฮ่า! คออ่อนแบบนี้ก็เปลี่ยนไปใช้น้ำปลาแทนครับแต่ขอบอกว่าความอร่อยของแจ่วก็ลดหายไปกว่าครึ่งแล้วครับ ทีนี้ถ้าคนมีบุญแล้วแต่ก็ยังใจไม่ถึงพอให้ใช้น้ำปลาร้าต้มสุกเอาก็ได้ความอร่อยเพิ่มมาเป็น 75% ในทันที แต่จะให้ดีเอาอร่อยแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นไปเลยไม่ดีกว่าเหรอครับ อันนี้สำหรับคนชอบอร่อยแบบฮาร์ดคอร์ล่อเป็นตัวๆไปเลยครับรับรองเด็ด จะอร่อยยิ่งๆขึ้นไปถ้าใจถึง ฉีกปลาร้าครับท่าน ว่ะ ห้า ฮ่า! กล้าพอไหมล่ะ… บางครั้งความอร่อยก็ต้องใช้ความกล้าเข้าแลกนะครับ อิอิ แต่ปลาร้าที่นำมาทำแจ่วควรเลือกประเภทปลาตัวเล็กๆก็พอครับถึงจะอร่อยอย่างเช่นปลาสลิดตัวเล็กๆหรือปลากระเดิดในภาษาอีสาน เพราะถ้าใช้ปลาตัวใหญ่ถ้าไม่มีคนกินล่ะก็เสียดายของครับ


ส้มตำ

ส้มตำ


   ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาวผักบุ้ง เป็นเครื่องเคียง
ร้านที่ขายส้มตำ มักจะมีอาหารอีสานอย่างอื่นขายร่วมด้วย เช่น ซุปหน่อไม้ ลาบ ก้อย น้ำตก ไก่ย่าง ข้าวเหนียว เป็นต้น
ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้
มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว[1] และได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด
ในปัจจุบัน ส้มตำเป็นอาหารที่แพร่หลายและนิยมรับประทานทุกภาคของประเทศไทย และยังเป็นอาหารไทยที่ขึ้นหน้าขึ้นตาต่อชาวโลกอีกด้วย